Blog Archive

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ใบชากำจัดกลิ่นในไมโครเวฟ



ใบชา(1)กำจัดกลิ่นในไมโครเวฟนำใบชาใส่ถ้วยเติมน้ำพอท่วมวางในเครื่อง
ใบชา(2)เปิดให้ร้อน3นาที แล้วปล่อยใบชาทิ้งไว้ในตู้ข้ามคืนกลิ่นก็จะหายไป

การกำจัดกลิ่นในเตาไมโครเวฟ ให้นำใบชาใส่น้ำพอท่วม ใส่เข้าไปในตู้ไมโครเวฟแล้วเปิดเครื่องให้น้ำร้อนสัก ๓ นาที จากนั้นปล่อยใบชาทิ้งไว้ในตู้ทิ้งข้ามคืน ถึงรุ่งเช้ากลิ่นก็จะหายไป แต่หากกลิ่นสะสมมานาน อาจจะต้องทำหลายรอบ ทางที่ดีควรหมั่นทำความสะอาดและดูดกลิ่นเป็นประจำจะดีที่สุด หรือหากจะใช้อีกวิธีก็ได้คือ ใส่น้ำในชามที่ใช้กับไมโครเวฟได้ ๑ แก้ว แล้วใส่ดอกไม้หรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมลงไป จากนั้นนำไปใส่ในเตาเปิดเครื่องไว้สัก ๗ นาที แล้วเปิดฝาออก กลิ่นหอมก็จะอบอวลไปทั่วห้อง เป็นการกำจัดกลิ่นที่รวดเร็วขึ้น


วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

มะละกอสำหรับตำส้มตำ ทำอย่างไรให้กรอบอร่อยไม่นิ่มเละ

(1)ต้องการเส้นที่กรอบมาทำส้มตำให้แช่น้ำแล้วบีบมะนาวลงไปเล็กน้อย
(2)แช่ไว้สักครู่ก่อนนำเส้นขึ้นมาสะเด็ดน้ำแล้วนำไปตำส้มตำ
เทคนิคง่ายๆกับการทำให้เส้นมะละกอกรอบไม่และเวลานำมาทำส้มตำ


แปลกจริงหนอ!!!!!!!!......เวลาลุกขึ้นมาตำส้มตำทานเอง เจ้ามะละกอที่เราสับเองกับมือมันกับเส้นนิ่มเละ ตำแล้วทานไม่อร่อยเหมือนกับที่ซื้อจากเจ้าประจำหน้าปากซอยมาทานเอาเสียเลย จะว่าสับเส้นเล็กก็ไม่ใช่ จะว่าตำนานไปก็ไม่เชิงเทคนิคง่ายมาก คว้ามะนาวขึ้นมาเลย หนึ่งลูก หรือจะใช้เปลือกมะนาวที่บีบเอาน้ำเตรียมสำหรับปรุงรสส้มตำออกแล้วก็ได้


เอามะละกอที่สับเสร็จเรียบร้อยแล้วใส่ลงในอ่าง ใส่น้ำเปล่าลงพอท่วมเส้นมะละกอ ตามด้วยเปลือกมะนาว ถ้ากลัวเปลือกไม่พอ บีบน้ำมะนาวตามลงไปอีกหน่อย คลุกเบาๆ ย้ำ..เบาๆ แช่ทิ้งไว้สักครู่ ก่อนจะนำเส้นมะละกอขึ้นมาสะเด็ดน้ำนำไปตำส้มตำตามปรกติ แปลกมาก เส้นกรอบอร่อยจนแทบไม่น่าเชื่อ ลองดูสิได้ผลแน่นอน


ที่มา
http://www.thaifooddb.com/tips/tips041.html
วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับในครัวเรือนที่ควรรู้

กล้วยน้ำว้า(1)วิธีต้มไม่ให้ดำใส่กิ่งมะขามที่มีใบติดอยู่สัก3กิ่ง
กล้วยน้ำว้า(2)ต้มพร้อมกล้วย แค่นี้ก็จะได้กล้วยสีขาวน่ากินแล้ว



แม้ ว่าสาวๆในยุคปัจจุบัน จะไม่ต้องเข้าครัวทำกับข้าวกับปลาเหมือนแม่บ้านใน สมัยก่อน เพราะสามารถหาซื้ออาหารที่ปรุงสำเร็จได้จากร้านค้า หรืออาจจะผูก ปิ่นโตกับเจ้าประจำได้ก็ตาม แต่ก็คงมีบางครั้งบางคราที่สาวสมัยใหม่อาจจะ นึกสนุกอยากเข้าครัวทำอาหารมารับประทานกันเอง หรือทำให้คนใกล้ชิดได้ลองลิ้ม ชิมรส “เสน่ห์ปลายจวัก” ของตนดูบ้าง ครั้นแล้วก็เจอะเจอปัญหาเกี่ยวกับการ ทำอาหารบางชนิด หรือเครื่องใช้ไม้สอยในครัวเรือนบางอย่างที่แก้ไม่ตก ดัง นั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวง วัฒนธรรม จึงขอนำเคล็ดลับบางประการจากหนังสือ “จิปาถะ สารพันกลเม็ดเด็ด พราย” ที่เป็นประโยชน์ทั้งเรื่องในครัว และอาหารการกินมาเสนอให้ลองไปใช้ ดู ดังนี้
เริ่มจากของคู่ครัวคือ กระทะ ทำอย่างไร มิให้ทำอาหารอะไรก็ติดกระทะ อาจจะเพราะนานๆที สาวเจ้าจะได้หยิบกระทะมาทำอาหารสักที ดังนั้น พอนึกจะใช้กระทะทอดหรือผัดอะไรที อาหารนั้นๆก็มักจะติดกระทะอยู่ร่ำไป วิธีแก้เขาบอกว่า ให้นำกระทะใบดังกล่าวไปตั้งไฟให้ร้อน แล้วโรยเกลือป่นลงไปพอประมาณ ทิ้งไว้สัก ๕ นาที จากนั้นเอาตะหลิวคลุกเขี่ยเกลือไปให้ทั่วกระทะ แล้วก็ทำความสะอาดกระทะเสีย คราวนี้แหละทำอาหารอะไร ก็ไม่มีติดกระทะแล้ว

-วิธีกำจัดกลิ่นคาวในกระทะ เมื่อทอดปลาเสร็จแล้ว หลายคนมักพบปัญหากลิ่นคาวติดกระทะ เราก็สามารถแก้ไขได้โดย บีบมะนาวลงไปชโลมไล้กับน้ำมันที่ทอดปลาในกระทะนั่นแหละ แล้วเช็ดคราบน้ำมันออกมา แค่นี้ก็หายคาวแล้ว หรือจะใช้น้ำชาชงแก่จัดๆล้างแทนน้ำเปล่าก็ได้ และหากจะทำความสะอาดก้นกระทะที่มีเศษอาหารไหม้ติดอยู่ ก็ทำได้โดยการโรยเบ็คกิ้งโซดาลงไปให้ทั่วบริเวณที่มีเศษอาหารไหม้ จากนั้นให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำร้อนในสัดส่วนเท่าๆกันเทลงในกระทะ ก็จะช่วยให้เศษไหม้เกรียมนั้นหลุดออกได้ง่ายขึ้น หรือจะใช้เบกิ้งโซดาผสมน้ำ ใส่แช่กระทะทิ้งไว้ค้างคืนแล้วล้างออกก็ได้ แต่หากชอบรุนแรง เขาบอกว่าสามารถเทน้ำเย็นใส่กระทะในขณะที่กระทะกำลังร้อนอยู่ ก็จะทำให้เศษอาหารไหม้หลุดออกมาได้เช่นกัน แต่วิธีหลังนี้ต้องระวังว่าน้ำร้อนกระเด็นเข้าตาจนเป็นอันตรายได้ ในกรณีกระทะเป็นสนิม เขาให้ใช้หนังหมูติดมันกับต้นกุ่ยช่าย ๑ กำมือแก้ โดยนำกระทะขึ้นตั้งไฟให้ร้อนจัด แล้วเอาหนังหมูติดมันมาทาถูให้ทั่วกระทะ แล้วเอาต้นกุ่ยช่ายม้วนเป็นก้อน ถูไปถูกมาให้ทั่วกระทะอีกที ถูจนต้นกุ่ยช่ายมีสีเหลือง ก็นำกระทะไปล้างให้สะอาด แค่นี้สนิมก็จะถูกกำจัดออกไปแล้ว กรณีเพิ่งซื้อกระทะมาใหม่ๆ ก่อนใช้เขาให้เราเทน้ำส้มสายชูลงไปในกระทะ ตั้งไฟให้เดือดสัก ๕ นาที (อย่าลืมปิดจมูกด้วยเพราะกลิ่นน้ำส้มสายชูจะฉุนมาก) แล้วล้างออกให้สะอาด วิธีนี้จะช่วยเวลาทำอาหารๆจะไม่ติดกระทะด้วย หรือจะใช้น้ำข้าวเทลงกระทะ พร้อมตั้งไฟกลางๆเคี่ยวจนแห้ง แล้วล้างให้สะอาดก็ได้เช่นกัน

-กรณีมีดที่ใช้เป็นสนิม เขาให้ใช้เปลือกมะนาวสดที่เราบีบน้ำออกแล้ว ไปถูที่มีด หรือจะผ่าหอมหัวแดงออก แล้วไปทาที่มีดบริเวณที่เป็นสนิมเบาๆ หรือทาให้ทั่วมีดก็ได้ สนิมก็จะหลุดออกมาโดยง่าย

-กาต้มน้ำมีตะกรัน หากมีไม่มาก ให้ลองเอาเปลือกหอยใส่ลงในกาต้มน้ำ จากนั้นตั้งไฟให้เดือด ๕ นาที แล้วปล่อยให้เย็น ตะกรันก็จะย้ายมาจับที่เปลือกหอยแทน แต่ถ้ามีตะกรันมาก ให้ใช้น้ำส้มสายชูผสมน้ำในปริมาณเท่าๆกัน เทใส่กาต้มน้ำตั้งไฟให้เดือด แล้วทิ้งค้างไว้ ๑ คืน ตอนเช้าค่อยมาล้างให้สะอาด แค่นี้ตะกรันก็จะหลุดออกมาโดยง่าย

-การกำจัดกลิ่นในเตาไมโครเวฟ ให้นำใบชาใส่น้ำพอท่วม ใส่เข้าไปในตู้ไมโครเวฟแล้วเปิดเครื่องให้น้ำร้อนสัก ๓ นาที จากนั้นปล่อยใบชาทิ้งไว้ในตู้ทิ้งข้ามคืน ถึงรุ่งเช้ากลิ่นก็จะหายไป แต่หากกลิ่นสะสมมานาน อาจจะต้องทำหลายรอบ ทางที่ดีควรหมั่นทำความสะอาดและดูดกลิ่นเป็นประจำจะดีที่สุด หรือหากจะใช้อีกวิธีก็ได้คือ ใส่น้ำในชามที่ใช้กับไมโครเวฟได้ ๑ แก้ว แล้วใส่ดอกไม้หรือเครื่องเทศที่มีกลิ่นหอมลงไป จากนั้นนำไปใส่ในเตาเปิดเครื่องไว้สัก ๗ นาที แล้วเปิดฝาออก กลิ่นหอมก็จะอบอวลไปทั่วห้อง เป็นการกำจัดกลิ่นที่รวดเร็วขึ้น
-วิธีเก็บข้าวกล้องไม่ให้เป็นมอด เมื่อซื้อมาแล้ว เขาให้เรานำไปเก็บไว้ในตู้เย็นทันที โดยเก็บในช่องธรรมดาสัก ๕ วัน แล้วค่อยนำออกมาไว้ข้างนอก จะช่วยกันมอดได้ หรือใช้เกลือป่นโรยในข้าวกล้องที่ซื้อมา ๑ ช้อนชาต่อข้าว ๑ กิโลกรัมก็ได้
-วิธีต้มกล้วยไม่ให้ดำ เมื่อจะต้มกล้วยน้ำว้า เขาให้เราใส่กิ่งมะขามที่มีใบติดอยู่ลงไปต้มพร้อมกล้วยเลย สัก ๓ กิ่ง แค่นี้ก็สามารถต้มกล้วยให้ขาวได้แล้ว

-ขจัดกลิ่นฉุนขณะผัดอาหาร เวลาที่ปรุงอาหารด้วยหัวหอม กระเทียมหรืออาหารอื่นที่มีกลิ่นฉุนไปทั้งบ้าน หากจะดับกลิ่นเหล่านี้ สามารถทำได้ด้วยการใช้น้ำส้มสายชูรินใส่ถ้วยวางไว้ใกล้ๆ กับเตาที่เราใช้ผัดอาหารนั่นแหละ เขาบอกว่าวิธีนี้จะช่วยดับกลิ่นฉุนของอาหารที่เราทำได้โดยเร็วเลยแหละ แต่ถ้าทำอาหารแล้วกลิ่นคาวไม่ว่าจะเป็นกลิ่นกุ้งหอย ปูปลา ติดมือให้ใช้ใบชาชงกับน้ำร้อน ล้างมือ ยิ่งแก่ยิ่งดับคาวได้ดี (แต่อาจเปลืองใบชาสักหน่อย) และถ้ามีเปลือกมะนาวก็ใส่ลงไปด้วยสัก ๓ ชิ้นก็จะช่วยขจัดกลิ่นคาวได้ดี เวลาใช้ควรใช้ตอนน้ำชากำลังอุ่นๆ จึงจะได้ผลดี

-คั้นกะทิให้ได้ความมัน (กรณีไม่ไปซื้อกะทิสำเร็จรูป) เขาก็มีเคล็ดลับว่าให้โรยเกลือป่น ๑ ช้อนชาลงในมะพร้าวที่จะคั้น คลุกเคล้าให้ทั่ว แล้วค่อยคั้นน้ำ ความเค็มนี่แหละที่จะช่วยรีดความมันให้ออกมาอย่างรวดเร็ว

-วิธีแกะกุ้งขนาดเล็กมากๆ ซึ่งมักจะแกะยาก เพราะติดเปลือก วิธีแกะให้ง่ายเข้าคือ ให้เอากุ้งที่ว่าไปลวกเสียก่อน แล้วค่อยมาแกะ จะทำให้แกะกุ้งตัวเล็กตัวน้อยได้สะดวกขึ้น

-ทอดไข่เจียวให้ฟูและนิ่มกินอร่อย ไม่ใช่เรื่องยาก เวลาเราตีไข่ให้หยอดน้ำมะนาวลงไปในไข่สัก ๕ หยด แล้วตีให้เข้ากัน พอตีไข่เสร็จ เทลงกระทะทอดตามปกติ เพียงแค่นี้ไข่เจียวก็จะฟูและอ่อนนุ่มน่ากิน

-วิธีต้มไข่ต้ม ไม่ให้แตก จนดูไม่น่ากิน เขาให้ใส่เกลือ ๑ ช้อนชาลงในน้ำที่จะต้มไข่ ไข่ก็จะไม่แตกหรือไม่ทะลักเล็ดออกมาอีกต่อไป แต่ไม่ควรต้มเกิน ๑๐ นาที เพราะจะทำให้เนื้อไข่แข็งกระด้าง กินแล้วย่อยยากขึ้น

-ทอดปลาไม่ให้ติดกระทะ ปัญหานี้อย่าว่าแต่แม่บ้านมือใหม่หัดเข้าครัวเลย แม้แต่แม่บ้านมือโปรก็เจอปัญหานี้ประจำ วิธีแก้คือ เมื่อน้ำมันในกระทะร้อนพอที่จะทอดปลาแล้ว อย่าเพิ่งใส่ปลาลงไป แต่ให้ใช้ขิงสดหั่นบางๆสัก ๓ ชิ้น ใส่ลงทอดในกระทะก่อน พอขิงเริ่มเกรียมก็ตักออกไป แล้วจึงใส่ปลาลงไปทอด ปลาก็จะไม่ติดกระทะอีกต่อไป

-ดับกลิ่นหืนในน้ำมันพืช เมื่อเก็บน้ำมันพืชไว้นานๆ บางทีก็มีกลิ่นเหม็นหืน ทำให้อาหารที่นำไปทอดมีรสชาติไม่ดีไปด้วย วิธีแก้ง่ายๆ คือ เมื่อเทน้ำมันลงในกระทะแล้ว ให้ใส่ใบเตยหรือหอมแดงทุบลงไปด้วย จะทำให้กลิ่นเหม็นหืนของน้ำมันพืชหมดไป และทำให้อาหารที่ทอดมีความหอมและรสชาติดีขึ้นด้วย

-วิธีทอดอาหารให้น้ำมันกระเด็นน้อยลง เขาให้โรยเกลือป่นลงไปในกระทะนิดหน่อย แค่นี้น้ำมันในกระทะก็จะกระเด็นออกมาน้อยลง หรือแทบไม่กระเด็นเลย



-วิธีลดความเค็มในแกงจืดหรือแกงกะทิ ซึ่งบางครั้งปรุงแล้วเกิดเค็มเกินเหตุ จะแก้ด้วยการเติมน้ำให้ความเค็มเจือจาง ก็จะทำรสชาติอื่นๆจางไปด้วย อีกทั้งต้องปรุงโน่นเติมนี่ไม่จบง่ายๆ ดังนั้น หากเราใส่น้ำปลาหรือเกลือในแกงหนักมือไปหน่อย จนทำให้น้ำแกงเค็มเกินไป สามารถแก้ได้โดย นำข้าวสารที่ล้างสะอาดห่อด้วยผ้าขาวบางให้เรียบร้อย ใส่ลงไปต้มในน้ำแกงเจ้าปัญหาของเรา ทิ้งไว้สักพัก ความเค็มก็จะถูกดูดออกไป ถ้ารอบเดียวยังเค็มอยู่ ก็อาจทำรอบสอง โดยเปลี่ยนข้าวสารใหม่อีกครั้ง แต่ส่วนใหญ่รอบเดียวก็หายเค็มแล้ว

-วิธีแก้ความเผ็ด หากกิน เผ็ดมากไป จนปากจะพอง ให้ดื่มน้ำหรือน้ำชาอุ่นๆค่อนข้างร้อนหน่อย จะทำให้หายเผ็ดได้เร็วขึ้น หรือจะใช้น้ำปลากลั้วให้ทั่วปากสัก ๒ นาทีก็ได้ อาการจะดีขึ้น

ข้อที่พึงระวัง -ไม่ควรใช้กระดาษฟอยล์กับอาหารที่มีความเป็นกรด เช่น มะนาว มะเขือเทศ หัวหอม เป็นต้น เพราะกรดในอาหารเหล่านี้จะทำปฏิกิริยาเคมีกับกระดาษฟอยล์ มีผลให้รสชาติอาหารเปลี่ยน และยังเป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย โดยเฉพาะฟอยล์ที่ใช้แล้วไม่ควรนำมาใช้อีก โดยเฉพาะการห่ออาหารเพื่อแช่ในตู้เย็น เพราะรอยยับย่นในกระดาษที่ใช้แล้ว จะมีรูเล็กรูน้อยเกิดขึ้น และเป็นตัวการทำให้อากาศจากภายนอกสามารถรั่วเข้าไปในอาหารได้

-อาหารบางชนิดไม่เหมาะกับภาชนะที่ทำด้วยเงิน เช่น ไข่ เกลือ น้ำมันมะกอก น้ำสลัด น้ำผลไม้คั้น เป็นต้น เพราะผลไม้ หรือดอกไม้บางชนิดมียางเป็นกรด อาจมีฤทธิ์กัดกร่อนจนผิวภาชนะเงินเป็นรอยได้ เวลาใช้จึงควรมีภาชนะอื่นรองรับอีกทีหนึ่ง

หวังว่าเคล็ดลับในครัวเรือนเหล่านี้ จะช่วยให้สาวสมัยใหม่ได้นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการเป็นแม่ศรีเรือนที่มี ความรู้คู่ความงามอย่างไม่ล้าสมัยในยุคปัจจุบัน


................................
อมรรัตน์ เทพกำปนาท กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม
เรียบเรียงจากหนังสือจิปาถะ สารพันกลเม็ดเด็ดพราย ติดต่อทีมงานจัดทำได้ที่ โทร. ๐๘๖ ๗๘๕ ๒๙๘๒
เขียนเมื่อ กันยายน ๒๕๔๙
ที่มา: สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม. http://www.culture.go.th/
วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

วิธีเก็บหอมหัวใหญ่ไว้ใช้ได้นาน ๆ

การเก็บไว้ใช้นานๆโดยไม่ให้แตกรากแทงใบออกมา ใส่ถุงกระดาษ
สีน้ำตาลพับปิดปากถุงแช่ในตู้เย็นช่องแช่ผักจะอยู่ได้นานขึ้น


การเก็บหอมหัวใหญ่ให้สดใหม่ใช้ได้นาน




เคยไหมเก็บหอมหัวใหญ่ไว้นานไปหน่อย หอมหัวใหญ่มักจะแตกราก แทงใบออกมาเป็นต้นอยู่บ่อย ๆ (ช่างเป็นพืชที่ปลูกง่าย โตง่ายซะจริงหนอ) วิธีเก็บหอมหัวใหญ่ ไว้ให้ใช้ได้นาน ๆ ให้ใส่หัวหอมใหญ่ในถุงกระดาษสีน้ำตาล พับปิดปากถุง ใส่ไว้ในช่องแช่ผัก หัวหอมใหญ่จะอยู่ได้นานขึ้น

ที่มา
http://www.thaifooddb.com/tips/tips086_keeping_onions.html
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Test New Blog For G-diy.blogspot.com

วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีแก้อาการผิดสำแดงด้วยน้ำซาวข้าว

ข้าว(1)วิธีแก้อาการผิดสำแดงด้วยน้ำซาวข้าว 100 CC เหง้ารางจืด 1 เหง้า
ข้าว(2)นำเหง้ารางจืดมาฝนกับฝาดินได้น้ำนำน้ำซาวข้าวมาผสมเข้ากันใช้กิน

อาการผิดสำแดง เป็นอาการที่พบบ่อยในผู้ที่มีอาการแพ้ต่างๆ ซึ่ง เกษตรกรและชาวบ้านส่วนใหญ่มักเกิดอาการแบบนี้ขึ้น แต่คุณ สมพงษ์ ธรรมคง ทอง มีวิธีการรักษาอาการผิดสำแดง ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน ซึ่งตนเองเคยใช้ กับตัวเองมาก่อน ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆที่สามารถใช้ได้จริง ไม่ว่าจะเป็น อาการผิดสำแดงจากอาหาร เครื่องดื่ม และอาการผิดสำแดงอื่นๆ


วัสดุ-อุปกรณ์

-น้ำซาวข้าว 100 มิลลิลิตร หรือ CC
-เหง้ารางจืด 1 เหง้า
-ฝาหม้อดิน 1 ฝา
วิธีการทำ
-ให้นำน้ำซาวข้าวเข้มข้นที่ได้จากการซาวข้าวใหม่ๆ 100 มิลลิลิตรมาเตรียมไว้
-หลังจากนั้นให้นำเหง้ารางจืด มาทำการฝนกับฝาหม้อดินพอประมาณ
-แล้วจึงนำน้ำซาวข้าวมาผสมกับเหง้ารางจืดที่ฝนแล้ว ทำการคนให้เข้ากันแล้วสามารถนำมาดื่มล้างพิษแก้ผิดสำแดงได้
หมายเหตุ
-การนำรากเง้ารางจืดมาฝนกับฝาหม้อดิน เพราะฝาหม้อดินมีธาตุเย็นช่วยดับพิษได้


สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่
คุณ สมพงษ์ ธรรมคงทอง
หมู่ 8 ต.ตะเคียนทอง อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี
เบอร์โทรศัพท์ 089-831-2795

ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.จันทบุรี
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ทำยังไง? ให้พริกขี้หนูที่ทุบไว้ไม่เปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ





คาดว่าหลายๆท่านคงเคยเจอกับปัญหา เวลาทำกับข้าว
ต้องเตรียมส่วนผสมต่างๆให้ครบก่อนจึงจะเริ่มลงมือปรุง เจ้าพริกขี้หนูเจ้ากรรมทุบหรือหั่นทิ้งไว้ประเดี๋ยวเดียวหันกลับมา ว้า สีดำคล้ำเสียแล้วไม่น่าทานเลย ป้องกันได้ง่ายๆเพียงแค่คุณบีบน้ำมะนาวลงบนพริก ใช้ช้อนคนเล็กน้อยให้พอเนื้อพริกโดนน้ำมะนาวเท่านี้พริกขี้หนูก็จะยังคงสีสด ใสเหมือนเก็บมาจากต้นเลยนะขอรับ



ที่มา
http://www.thaifooddb.com/tips/tips038.html
วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

วิธีการหุงข้าวกล้องให้อร่อย

การหุงข้าวกล้องให้อร่อยใช้ข้าว1ส่วนน้ำ3ส่วนแช่นาน30นาทีก่อนหุง หรือก่อนหุงผสมข้าวขาวในอัตรา 1 ต่อ 4 ส่วน จะทำให้ข้าวนิ่มอร่อย ข้าวกล้องเป็นข้าวที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด เนื่องจากเป็นข้าวที่ ผ่านการกระเทาะเปลือกออกเพียงครั้งเดียว ทำให้จมูกข้าวและรำข้าวซึ่งเป็น ส่วนที่อุดมไปด้วยวิตามินยังติดอยู่




ข้าวกล้องนั้นจะมีสีน้ำตาลส่วนความ เข้มอ่อนนั้นจะแตกต่างกันไปตามพันธุ์ข้าว พื้นที่ที่ใช้ในการปลูก และกระบวนการผลิตสาเหตุที่ข้าวกล้องยังได้รับควาามนิยมไม่มากเท่าที่ควรนั้น เนื่องมาจาก เวลาที่ข้าวกล้องสุกแล้วจะมีความแข็งมากกว่าข้าวขาว
เพื่อให้ข้าวกล้องมีความนิ่มมากขึ้นจะต้องตวงข้าวกล้องใส่หม้อ แช่น้ำไว้ประมาณ 30 นาที และอัตราส่วนในการหุงนั้นต้องใช้ข้าว 1 ส่วน ต่อน้ำ 3 ส่วน แช่น้ำทิ้งไว้อีกประมาณ 30 นาที จึงจะนำไปหุงได้ หรืออาจใช้วิธีใส่ข้าวขาวขัดผสมลงไปในอัตราส่วน 1 ต่อ 4ทั้ง 2 วิธีนี้จะทำให้ข้าวกล้องนุ่มน่ากินมากขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ลวกผักอย่างไรให้เขียวสวยน่ากิน


เคยสงกะสัย กันบ้างหรือเปล่าว่าทำไม...ทำไม เวลาเราเข้าไปสั่งอาหารประเภทน้ำพริกผักจึงเขียวสวยเชียว วันนี้เราลองมาดูกรรมวิธีการลวกกันดูว่าเขาลวกกัน อย่างไรจึง น่ากินกันจัง

ผักลวก รับประทานคู่กับน้ำพริกนานาชนิด อาหารอร่อยคู่สำรับคนไทยอย่างเราๆ แต่หลายๆ ครั้ง เมื่อลวกผักแล้วผักกลับดำคล้ำไม่น่ารับประทานเอาเสียเลย เทคนิคง่ายๆที่ทำให้ลวกผักประเภทผักใบให้เขียวสวยน่ารับประทานก็คือ ขั้นแรก ล้างผักให้สะอาด เลือกเอาส่วนที่เน่าเสียออก แยกผักออกเป็นส่วนก้านและส่วนใบ ขั้นที่สอง ใช้น้ำให้น้อยดูว่าพอดีท่วมผักเมื่อใส่ลงไปในหม้อแล้ว (เพื่อสงวนคุณค่าทางโภชนาการ) ต้มน้ำให้เดือด ใส่เกลือและน้ำมันอย่างละประมาณ 1 ช้อนชา (เกลือทำให้ผักมีรสชาติ น้ำมันทำให้ผักมีสีเขียว) ขั้นที่สาม เร่งไฟแรง ใส่ผักลงไปต้ม โดยใส่ส่วนก้านก่อน แล้วค่อยตามด้วยใบ ถ้าต้องการต้มทั้งต้น ให้จุ่มก้านลงไปก่อนแล้วค่อยๆ วางส่วนใบลงต้มทั้งต้น ขั้นสุดท้าย เมื่อผักสุกใบเปลี่ยนเป็นสีเขียวสม่ำเสมอ ให้ตักผักขึ้นแช่ในน้ำเย็นทันที เพื่อให้ผักคายความร้อน ไม่สุกต่อ ซึ่งจะทำให้ผักเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือเขียวคล้ำ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถลวกผักให้สุกเขียวน่ารับประทานได้ไม่ยากเลย
วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

มาช่วยลด โลกร้อนกัน....เถอะ




วันนี้เรามาช่วย ลดโลกร้อน พร้อมกับประหยัดเงินในกระเป๋า ของเรากัน ดีกว่าด้วยการนำ เจ้าดินสอที่เหลือ สั้นๆๆๆๆๆๆๆๆ มาต่อด้ามให้มันยาวเท่าเดิม ซึ่งอุปกรณ์ก็ไม่มีอะไรมาก มาเตรียมกันเลยดีกว่านะ....ขอรับ


รายการอุปกรณ์
1.ดินสอเก่า แท่งสั้นๆๆ ที่ทำการเหลาให้แหลม แต่จับเขียนไม่ถนัด 1 แท่ง
2.ดินสอใหม่ๆ 1 แท่ง
3.กรรไกร 1 อัน
4.กระดาษบัวร์ชัวร์ แบบอาร์ทมัน หรือไม่มันตามแต่ชอบแต่แข็งหน่อย 1 แผ่น
5.เทปใส

เริ่มกันเลยอันดับแรก เอาดินสอใหม่ๆ มาทาบกับกระดาษบัวร์ชัวร์ เพื่อวัดความยาว ให้ได้เท่าดินสอใหม่ แล้วตัดเลย
เมื่อได้ความยาวแล้ว ก็เอาเจ้าดินสอแท่งเดิม ทำเป็นแบบม้วน การม้วนพยายามม้วนให้แน่นๆ
เมื่อม้วนแล้ว เอาเจ้าดินสอแท่ง สั้นๆของเรามาสวม แล้วปรับให้แน่น แต่อย่าแน่นมาก
เมื่อได้แล้ว คราวนี้ก็ใช้เทปใสพัน เป็นช่วงๆ ก่อน แล้วติดตามยาวอีกที่
คราวนี้ก็จะได้ ดินสอที่มีความยาว สามารถใช้เขียน ถนัดมือแล้ว ยังช่วยโลกร้อน และช่วยประหยัดเงินกระเป๋าสตางค์ได้อีกมาก







วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ฝนตกรองเท้าเปียกทำไงดี พรุ่งนี้ต้องใสอีก


หน้าฝนแล้วปัญหาส่วนใหญ่คือฝนตกทำให้เสื้อผ้า รองเท้าเปียกชื้น แล้วรองเท้าของเราพรุ่งนี้ต้องใส่ต่อจะทำอย่างไรดี ปัญหาง่ายๆที่บางฅนมีคำตอบ บางฅนไม่มี วิธีง่ายที่สุดคือเมื่อรองเท้าเปียกน้ำ ให้หากระดาษหนังสือพิมพ์เอามายัดในรองเท้าที่เปียก แล้วเอารองท้าไปคว่ำเอาส่วนพื้นขึ้น ("อย่าเอาพื้นลงเป็นเด็ดขาด มันจะละลายแล้วความร้อนจะเข้าไปในรองเท้าไม่ได้ จริงๆนะ จะบอกให้")แล้วเอาไปไว้ในห้องเครื่องรถยนต์ บริเวญใก้ลๆกันกับ หม้อน้ำ แล้วปิดฝากระโปรง รถยนต์(ไม่ต้องปิดแน่นนะ เอาแค่งับไว้เฉยๆ) ประมาณ 15 นาทีมาดูว่าหนังสือพิมพ์ที่ยัดไว้มันเปียกมากไปหรือไม่ ถ้าเปียกให้เปลี่ยนใหม่ คราวนี้ทิ้งเอาไว้เลย ประมาณ ครึ่งชัวโมง มันจะแห้งแต่ถ้าไม่แห้ง แนะนำเอามันไปตากที่บริเวณ เครื่องปรับอากาศตัวนอกอาคาร ที่มันเป่าลมร้อนออกมา มันช่วยได้จริงๆ ไม่เกิน 1 ชั่งโมงแห้งสนิท
ส่วนเสื้อถ้าเปียกแล้วจะต้องใสต่อแนะนำให้เอาไปไว้ บริเวณเครื่องปรับอากาศตัวนอก หาอะไรยึดหน่อยเดียวปลิว ไม่เกิน 1 ชั่วโมงแห้งสนิท เอามารีดได้เลย แต่มีเคล็ดรับนิดนึง คือเวลาตากกรุณาเอาด้านหน้า เข้าหาพัดลมเครื่องปรับอากาศนะ ถ้าเอาด้านหนังแห้งช้า

ลองดูนะ ชาวGangof4wd ทำให้ลูกประจำ ไว้คราวหน้าจะมา สอนวิธีซักชุดนุ่งน้อย หม่น้อยแบบเร่งด่วน กรณีไปเที่ยวแล้วอยู่ในโรงแรมหรืออยู่บ้านก็ได้
วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีป้องกันและกำจัดมดหรือแมลงต่างๆภายในบ้าน

การ กำจัดมดหรือแมลงต่างๆที่สร้างความรำคาญให้แก่คนภายในบ้าน เป็นปัญหาที่มีผู้สอบถามเข้ามาอยู่บ่อยครั้ง จึงรวบรวมวิธีการป้องกันและกำจัดมดหรือแมลงอย่างง่ายๆ ซึ่งไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์และสิ่งแวดล้อมมาฝากกัน

*วิธีป้องกันและกำจัดมด
# หาเศษผ้าที่ไม่ใช้แล้วมาตัดเป็นชิ้น ๆ ชุบกับน้ำมันเครื่องพอหมาดหรือจาระบีแล้วนำมาพันรอบขาตู้หรือโต๊ะ หรือใช้ปูนขาวใส่ภาชนะรองที่ขาตู้ก็ได้ แต่หากพบมดไต่ขึ้นมาตามรอยแตกร้าวของคอนกรีต ให้ใช้น้ำมันก๊าดเทลงไปในร่อง มดก็จะไม่โผล่หน้าขึ้นมาให้เรารำคาญใจอีกนาน
# ใช้แป้งฝุ่นสำหรับทาป้องกันเห็บหมัดของสุนัขหรือแมวโรยตามพื้นหรือบริเวณที่ มดขึ้น เมื่อมดเดินผ่านก็จะเกิดการระคายเคืองและตายในเวลาอันรวดเร็ว แต่ถ้าไม่อยากฆ่าสัตว์ก็ให้ใช้แป้งฝุ่นธรรมดาแทน หรือฝานมะนาวเป็นแผ่นบาง ๆ มาวางในบริเวณที่มดขึ้นก็ได้
# ในกรณีที่พบรังมด ให้ใช้น้ำที่แช่หน่อไม้สดหรือหน่อไม้ดองเปรี้ยวราดไปที่รัง มดจะอพยพไปอยู่ที่อื่นทันที แต่ถ้าต้องการกำจัดให้สิ้นซากให้ใช้การบูรและยาสูบอย่างละ 1 ส่วน นำไปแช่น้ำตั้งไฟให้เดือด จากนั้นเอาไปราดที่รัง มดก็จะตายและไม่กลับมาทำรังอีก

*วิธีกำจัดแมลงสาบ
# นำขวดแก้วที่มีปากค่อนข้างกว้างใส่น้ำแกงจืดหรือน้ำต้มยำที่เหลือจากการรับ ประทานอาหาร (ใส่ประมาณครึ่งขวด) แล้วนำไปวางไว้บริเวณซอกหรือมุมห้องภายในบ้าน โดยวางให้ชิดติดกับผนังเพื่อล่อให้แมลงสาบที่ไต่ตามฝาผนังลงมากินน้ำแกงใน ขวด ทำให้ไม่สามารถปีนกลับขึ้นมาได้
# ใช้เหยื่อล่อแมลงสาบสำเร็จรูป ซึ่งบรรจุอยู่ในตลับที่มีช่องว่างเพื่อให้แมลงสาบมุดหัวเข้าไปกินเหยื่อ แล้วออกมาตายภายนอก (ไม่ตายค้างอยู่ด้านในตลับ) โดยนำไปวางไว้ในบริเวณที่มีแมลงสาบชอบเดินผ่าน อาทิ ตามซอกมุมอับต่างๆ หรือวางไว้ใกล้ท่อระบายน้ำทิ้ง เพื่อดักแมลงสาบที่ออกมาหากินยามค่ำคืน
# ใช้บ้านแมลงสาบ ซึ่งเป็นกาวดักแมลงสาบที่ไม่เป็นอันตรายต่อคนและสัตว์เลี้ยง มีประสิทธิภาพในการดักจับแมลงสาบได้ดี ใช้ง่ายเพียงแค่แกะกล่องกระดาษแล้วนำแผ่นเหยื่อไปวางไว้ตรงกลางแผ่นกาวและ พับเป็นรูปบ้าน นำไปวางไว้ตามห้องหรือซอกมุมที่มีแมลงสาบรบกวน เมื่อมีแมลงสาบมาติดจนเต็ม ให้พับบ้านแมลงสาบเข้าทุกด้าน แล้วนำไปทิ้งลงถังขยะ บ้านแมลงสาบมีอายุการใช้งานนานประมาณ 3-4 สัปดาห์

*วิธีกำจัดแมลงวัน
# ใช้น้ำเชื่อมหรือน้ำหวานเข้มข้น 3 ส่วน ผสมกับพริกไทยป่น 1 ส่วน นำไปตั้งไว้ในบริเวณที่มีแมลงวันชุกชุม หากแมลงวันแวะเข้ามากินน้ำเชื่อมแล้ว ก็จะตายแบบหวานเย็นในเวลาไม่นานนัก
# นอกจากกาวดักแมลงวันที่คุ้นเคยกันดีแล้ว ขอแนะนำโคมดักแมลงวันเพื่อใช้ดักจับแมลงวันและแมลงต่างๆที่สร้างความรำคาญ และเป็นพาหะนำโรคมาสู่มนุษย์และสัตว์เลี้ยง โดยอาศัยเหยื่อล่อหรือเศษอาหาร อาทิ ผลไม้สุกและอาหารทะเลที่มีกลิ่นค่อนข้างแร ง เพื่อดึงดูดแมลงเข้าไปติดกับ และไม่สามารถบินหนีออกมาได้

5 วิธีกำจัดคราบสกปรก

1. พื้นซีเมนต์ไม่เงางาม พื้นซีเมนต์ที่ขัดเท่าไรก็ยังไม่เงางามสะใจ ลองใช้ผ้าขาวบางห่อกากมะพร้าวที่เหลือจากการคั้นกะทิ แล้วนำมาถู พื้นก็จะเงางามขึ้นทันตา หรือถ้าพื้นซีเมนต์เปื้อนน้ำมันเหนียวเหนอะ สามารถขจัดคราบได้ด้วยการนำขี้เถ้ามาโรยบริเวณที่เปื้อนน้ำมัน ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำเปล่า แล้วใช้ผ้าแห้งเช็ดซ้ำอีกที ปล่อยไว้ให้แห้งสนิท พื้นก็จะสะอาดไม่เหนียวอีกต่อไป

2. ผ้าม่านสีหมอง ผ้าม่านและผ้าบุโซฟาแรกใช้ก็สวยดีหรอก แต่ใช้ไปสักพักสีผ้าก็เริ่มหม่นหมอง วิธีแก้ไขถ้าเป็นผ้าม่านให้ซักด้วยน้ำเย็น จากนั้นนำไปตากผึ่งลมให้แห้งในที่ที่แดดไม่จัด หากอยากให้ผ้าเรียบเนี้ยบให้รีดด้วยไฟอ่อนๆ การรีดด้วยไฟแรงจะทำให้ผ้ากรอบและหมองเร็ว ส่วนคราบสกปรกบนผ้าบุโซฟาให้ใช้ฟองน้ำชุบน้ำผสมผงซักฟอกเช็ดเบาๆบนรอยสกปรก จากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดอีกครั้ง แล้วใช้เครื่องเป่าผมเป่าจนแห้งสนิท

3. พรมสวยดำปี๋ พรมแสนสวยราคาแพง แต่เดินย่ำไม่กี่ทีก็ดำปี๋ดูไม่จืดเสียแล้ว เห็นทีต้องทำความสะอาด แต่ก่อนจะดูดฝุ่นควรโรยเกลือบนพรมจะช่วยให้ดูดฝุ่นได้ง่ายขึ้น ส่วนคราบไขมันไม่น่ามอง ให้ใช้เกลือผสมกับแอลกอฮอล์ในอัตราส่วน 1:4 เช็ดตามแนวพรม ระวังอย่าเช็ดย้อนทางเพราะจะทำให้พรมเสียรูปได้

4. กระทะไฟฟ้าแห้งกรัง หม้อไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า เตาอบ เป็นเครื่องครัวประจำบ้านที่ใช้กันทุกวี่วัน เมื่อเกิดคราบสกปรกต้องรีบกำจัด เช่น เตาอบที่มีคราบอาหารเกาะหนึบ ให้ใช้น้ำผสมน้ำยาล้างจานเช็ดคราบเหนียวก่อน แล้วใช้น้ำมันจักรเช็ดเพื่อให้ความเงางามยังคงอยู่ ตามด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆเช็ดจนเตาอบสะอาดดี ส่วนหม้อไฟฟ้า กระทะไฟฟ้า ใช้ฟองน้ำชุบน้ำสบู่ร้อน เช็ดทั้งภายนอกและภายใน ห้ามใช้ฝอยขัดหม้อเด็ดขาด เพราะจะทำให้เกิดรอยได้ ส่วนหม้อต้มกาแฟที่ทำจากเงินหรือสเตนเลสอย่างดี ให้ใช้เบกกิ้งโซดาซึ่งจะไม่ทำปฏิกิริยากับวัสดุ ผสมน้ำเช็ดถูเบาๆก็พอ จะช่วยทำให้รสชาติของกาแฟไม่ผิดเพี้ยนด้วย

5. ตู้เย็นเหม็นจริงๆ ปัญหากลิ่นและคราบอาหารติดตู้เย็นเป็นของคู่กัน เพราะมีคราบสกปรกจึงมีกลิ่น แนะนำให้กำจัดคราบสกปรกด้วยการบีบยาสีฟันลงไปก่อน จากนั้นก็ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดถูจนหมดคราบ ถ้ามีคราบเหนียวให้หยดน้ำมันพืชลงบนกระดาษทิชชู แล้วถูให้สะอาด ก็จะช่วยให้ตู้เย็นเงางามขึ้นด้วย ส่วนเรื่องการลดกลิ่นเหม็นให้หาถ่านหุงข้าวหรือใส่เบกกิ้งโซดาในถุงที่เปิด ปากถุงทิ้งไว้นำไปวางไว้ในตู้เย็นก็จะช่วยได้ อย่างไรก็ตามถ้าความสกปรกเข้าขั้นวิกฤต คงต้องล้างทำความสะอาดตู้เย็นครั้งใหญ่แล้วละ โดยให้ล้างด้วยน้ำอุ่นผสมเบกกิ้งโซดา แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นเช็ดให้แห้ง และเปิดตู้ทิ้งไว้จนแห้งสนิทดี จึงใช้งานต่อได้ แค่คิดก็ร้องยี้แล้ว เมื่อกลิ่นอาหารบูดส่งกลิ่นมาตามท่อระบายน้ำของอ่าง ล้างจาน ให้เทเบคกิ้งโซดา 1 ถ้วย ลงไปในท่อ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที จากนั้นตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วย แค่นี้กลิ่นก็จะค่อยๆจางหายไปแล้ว
วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

D.I.Y.หมอนสุขภาพ จากหลอดกาแฟ

เพื่อนๆท่านใดเคยปวด คอเวลาตื่นนอนเนื่องจากหมอนที่หนุน ไม่ได้รองรับกระต้นคอทำให้การนอนเป็นการนอนที่ผิดวิธี บ้างครังหมอนนิ่ม เกินไป บางครั้งแข็งเกินไป วันนี้เรามีวิธีที่จะให้ให้ท่านจะไม่ต้ิองปวดคอจากกการนอนอีกแล้ว ด้วยหมอนหลอดกาแฟ เป็นผลงานวิฉัยจาก นาซ่า หรือใครซ่าก็ไม่รู้ๆแต่ว่าใช้ได้ดีราคาไม่แพง ทำเองได้ไว้แจก แฟน,ญาติ,พี่น้อง รวมไปถึงคุณพ่อตา แม่ยายทีกำลังจากเกลียด ขี้หน้าท่าน แถมยังไม่มีไรฝุ่น เข้ามารบกวนสำหรับฅนเป็นโรค ภูมิแพ้ หรือแพ้ภูมิ เออ.. มันเกี่ยวกันหรือป่าว เพราะคุณสมบัติพิเศษของหลอดกาแฟ คือมันยืดหยุ่นได้ หลอดกาแฟเมื่อมันรวมตัวกันมากๆ จะกลายเป็นช่องว่างอากาศอย่างดี เมื่อถูกกดทับ จะยุบตัว และไม่มีการพองกลับในทันใด เวลาเรานอนแล้วขยับ จะรู้เลยว่ามันพอดีกับต้นคอ คล้ายๆกับการปั้มป์กุญแจบนก้อนดินน้ำมันมันจะทิ้งร่องรอยกระดูกไว้ แถมไม่มีใยนุ่น เป็นที่อาศัยของไรฝุ่น เอาเริ่มช่วยกันดีกว่้า


วัสดุ อุปกรณ์ สร้าง
1.ของสำคํญปลอกหมอนเปล่าๆที่ไม่มีนุ่น หาแบบสีสันหน่อยหรือจะจ้างร้านเย็บก็ได้ แต่ข้อสำคัญมันต้องมีซิปนะจ๊ะเพื่อเอาไว้ปรับเปลี่ยนขนาด
2.หลอดกาแฟ จากแม็คโค (โฆษณาฟรีเลย) ยกห่อกันเลย แต่ข้อสำคัญอย่าง....มากๆๆอย่าเอาแบบใสๆนะเพราะ มันนุ่มนิ่มเกินไปเอาแบบ หลายสีสรร เวิอรค์ เอามันมาตัด ตัด ตัด ประมาณ 1 เซ็น จะใช้มีด กรรไกร ปืน ก็ตามแต่เถอะ พ่อเจ้าประคุณ ให้มันได้ 1 เซ็นเป็นพอ

ดูรูปเลย


เอา เอา แบบนี้นะ



แล้วเอามันยัดเข้าไป แบบนี้



ยัดมันเข้าไป เออนิ้วบวมเลย



ฮีนี้ ใบใหญ๋นะจ๊ะ... นายจ๋า



ได้อีกนะจ๊ะ ใบเล็กหน่อย


มั่วเองนะ
วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

D.I.Y.มาทำ “หน้ากากอนามัย” ใช้เองกันเถอะ

หลังการแพร่ระบาดรุนแรงของโรคไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ 2009 จนส่งผลให้ยอดผู้เสียชีวิตพุ่งสูงกว่า 20 ราย และมีผู้ติดเชื้อเฉียด 5,000 ราย แล้ว เริ่มส่งผลให้คนไทยตื่นตระหนกและหันมาป้องกันตัวเองตามการรณรงค์ของกระทรวง สาธารณสุข ด้วยการหมั่นล้างมือให้สะอาด และสวมหน้ากากอนามัย

และภายหลังการแห่ซื้อหน้ากากอนามัยของประชาชน ทำให้บางพื้นที่เกิดขาดแคลน ขาดตลาด หาซื้อไม่ได้ หรือที่ร้ายกว่านั้น คือ มีพ่อค้าหัวใสฉวยโอกาสขึ้นราคาหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะชนิดที่ทำด้วยกระดาษ ให้พุ่งสูงขึ้นหลายเท่าตัว ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อย ไม่สามารถซื้อหาหน้ากากอนามัยมาสวมเพื่อป้องกันตัวเองจากการติดเชื้อได้

สำนักโรคอุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกแผ่นพับแนะนำวิธีการทำหน้ากากอนามัยใช้เองแบบง่ายๆ เพื่อเป็นทางเลือกแก่ประชาชนในการแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย วิธีการทำก็ไม่ยุ่งยาก อุปกรณ์ที่ใช้ก็หาได้ในกล่องเย็บผ้าคุณแม่บ้านเป็นส่วนใหญ่ อาจจะมีต้องซื้อหาเพิ่มเล็กน้อย แต่ถ้าคิดแล้วสุดคุ้ม เพราะซื้อครั้งเดียวทำได้หลายชิ้น แถมซักนำกลับมาใช้ได้เรื่อยๆ ได้ทั้งประโยชน์ทางตรงคือประหยัดเงิน ได้หน้ากากหลายชิ้น สลับใช้ได้ ลดปัญหาการต้องซื้อของแพงและขาดตลาด แถมในทางอ้อมยังได้ช่วยลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดขยะในประเด็นของการใช้หน้ากากอนามัยกระดาษที่ต้องใช้แล้วทิ้ง เป็นการช่วยโลกร้อนไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย

อุปกรณ์ ที่ต้องใช้ ได้แก่ กรรไกรตัดผ้า, ด้ายและเข็ม, ผ้าฝ้าย หรือผ้ายืด หรือผ้าสาลูเนื้อแน่น กว้าง 6 นิ้วครึ่ง ยาว 7 นิ้วครึ่ง 2 ชิ้น และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้คือยางยืดหรือไส้ไก่ยาว 7 นิ้วสำหรับทำหู 2 เส้น

...ทีนี้ก็ถึงเวลาลงมือทำกันแล้ว...

เริ่มด้วยการนำผ้าที่เตรียมไว้มาพับครึ่งตามความยาวผ้าแล้วพับจับ จีบทวิส 1 นิ้ว ตรงกลางผ้ากลัดด้วยหมุด หรือ เนาตรึงไว้ และ ทำอีกชิ้นเช่นเดียวกัน จากนั้นนำผ้าที่พับไว้มาวาง โดยหันด้านนอกขึ้น และนำยางยืดมาวางที่มุมผ้าด้านกว้างข้างบน และข้างล่าง ด้านละ 1 เส้น กลัดเข็มหมุด หรือ เนาตรึงไว้

ขั้นตอนต่อมานำผ้าที่พับไว้อีกชั้นมาวางซ้อนกับผ้าชิ้นแรกที่ตรึงยาง ยืดไว้ โดยหันผ้าด้านนอกชนกัน แล้วเย็บจักร หรือ ด้นถอยหลังรอบผ้าสี่เหลี่ยม ให้ห่างจากริมผ้า ด้านละครึ่งเซนติเมตร โดยเว้นช่องว่างไว้กลับตะเข็บ ประมาณ 1 นิ้ว และขลิบผ้าตรงมุมทั้ง 4 มุม ให้ใกล้กับรอยเย็บ เพื่อเวลากลับตะเข็บจะได้เรียบร้อยสวยงาม จากนั้นปิดท้ายด้วยสอยปิดช่องว่างที่เว้นไว้ให้เรียบร้อย เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำหน้ากากอนามัย

เห็นไหม...ไม่ยากเลย คุณหนูๆ ก็สามารถช่วยคุณพ่อคุณแม่ทำได้ แถมภูมิใจเมื่อสวมหน้ากากที่เป็นคนทำเองด้วย

ทีนี้ก็มาถึงวิธีการสวมหน้ากากให้ถูกวิธี เพื่อให้การใช้หน้ากากอนามัยป้องกันเชื้อโรคได้อย่างสูงสุดเต็มประสิทธิภาพ ก่อนอื่นต้องล้างมือให้สะอาดเสียก่อนใส่ จากนั้นใช้มือจับหูยางยืดสวมกับหูตัวเอง และดึงให้ส่วนที่เป็นหน้ากากคลุมจมูกและปากให้มิดชิด ปรับสายให้หน้ากากกระชับกับใบหน้า

และ เมื่อใช้เสร็จแล้ว การดูแลรักษาทำความสะอาดหลังใช้ก็เป็นเรื่องสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน หากเป็นกรณีของหน้ากากอนามัยกระดาษ ควรใช้ครั้งเดียวทิ้ง และทิ้งในถังขยะที่มีฝาปิดมิดชิด หากเป็นผ้าหลังจากใช้เสร็จความซักให้สะอาด และผึ่งแดดให้แห้ง สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
วันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การหุงข้าว ด้วยกระบอกไม้ไผ่


การหุงข้าวมีอยู่ หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการหุงข้าวด้วยหม้อหุงข้าวไฟฟ้า หรือการหุงข้าวด้วย เตาถ่านโดยการหุงข้าวแบบเช็ดน้ำและไม่เช็ดน้ำ ซึ่งแต่ละวิธีจะมีกระบวนการ ที่แตกต่างกัน ผลลัพธ์ที่ได้คือเราจะได้ข้าวสวยที่สุกน่ารับประทาน และยังมี การหุงข้าวอีกหนึ่งวิธีที่หลายๆ คนอาจจะยังไม่เคยได้สัมผัสหรือทดลองหุงซึ่ง เป็นการหุงข้าวที่น่าสนใจและได้ข้าวสวยสุกที่มีกลิ่นหอมน่ารับประทาน ซึ่ง วิธีการหุงวิธีจะทำการหุงข้าวด้วยกระบอกไม้ไผ่ ซึ่งมีวิธีการดังนี้


วัสดุ-อุปกรณ์ :
1.ข้าวสารเจ้า
2.กระบอกไม้ไผ่สด ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3.5 นิ้ว ขึ้นไป
** ทำการตัดกระบอกไม้ไผ่ความยาวด้านหนึ่งจากข้อไม้ไผ่ยาว 15 นิ้ว (ด้านที่ใช้สำหรับหุงข้าว) อีกด้านยาวประมาณ 5 นิ้ว **
3.ใบตอง ที่ใช้สำหรับห่อข้าวสาร
4.เชือกฟางหรือเชือกกล้วยที่ใช้สำหรับมัดใบตอง

ขั้นตอนการหุงข้าว :
1.ล้างทำความสะอาดกระบอกไม้ไผ่ให้สะอาด (ทั้งด้านในและด้านนอก)
2.นำข้าวสารมาซาว ล้างทำความสะอาดประมาณ 1-2 น้ำ
3.น้ำข้าวสารที่ซาวเรียบร้อยแล้ว มาห่อด้วยใบตองที่เราเตรียมไว้
** ลักษณะการห่อคล้ายกับการห่อข้าวต้มมัด ม้วนใบตองแล้วทำการปิดหัวปิดท้าย อย่าห่อให้แน่น ปริมาณข้าวสารที่ห่ออย่าให้มากจนเกินไปและ ขนาดของห่อข้าวควรจะเล็กกว่าขนาดของไม้ไผ่ เพราะจะง่ายต่อการใส่ห่อข้าวลงในกระบอกไม้ไผ่ ให้เหลือช่องว่างในกระบอกไม้ไผ่บ้างเผื่อพื้นที่เมื่อข้าวสุก **
4.ใช้เชือกมัดเพื่อป้องกันการหลุดของใบตอง
5. นำใบตองที่ห่อข้าวสารลงไปในกระบอกไม้ไผ่ ประมาณ 3 ห่อ
6.ให้เหลือพื้นที่ว่างจากบริเวณปากกระบอกประมาณ 4 นิ้ว
7.นำน้ำสะอาดใส่ลงในกระบอกไม้ไผ่ อย่าให้เต็ม ให้เหลือพื้นที่จากปากกระบอกประมาณ 2 นิ้ว
8.นำกระบอกไม้ไผ่ไปเผาบนกองไฟ โดยลักษณะการวางกระบอก คือ ตั้งตรง ต้องคอยระวังอย่าให้กระบอกไม้ไผ่ล้ม
9.สังเกตเมื่อน้ำเดือด รอเวลาประมาณ 20 นาที จากนั้นให้รินน้ำออก (คล้ายกับการหุงข้าวเช็ดน้ำ)
10.จากนั้นนำกระบอกไม้ไผ่ไปอังไฟอ่อนๆ ประมาณ 10 นาที
11.ผ่ากระบอกไม้ไผ่เพื่อนำข้าวมารับประทาน

ข้อดีของการหุงข้าวในกระบอกไม้ไผ่ :
1.ข้าวที่ได้จะมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน
2.เหมาะสำหรับคนที่รับประทานข้าวได้น้อย ข้าวที่หุงจะง่ายต่อการรับประทาน
3.สามารถนำไปปรับใช้ในการเดินป่าได้

ขอบคุณผู้จัดการ
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2552
รอแป๊บ ..... เดี่ยวมาสอยให้สุดสวิงไปเลย